ช่วงนี้เป็นฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2555 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และบางบริษัทจะมีจ่ายเงินปันผลกลางปีด้วย วันนี้ผมจึงอยากจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างมูลค่าของบริษัท (Value Creation) และอัตราส่วนทางการเงินแบบง่าย ๆ ที่ได้แนวคิดจาก อ.เทพ รุ่งธนาภิรมย์ ในงานสัมมนาของ บมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง เพื่อจะช่วยในการอ่านงบการเงินของบริษัทที่ท่านลงทุนอยู่ได้ ดังนี้ :-

เราสามารถพบรายการ Equity (ส่วนของผู้ถือหุ้น), Liabilities / Debts (หนี้สิน) และ สินทรัพย์ (Assets) จาก งบแสดงฐานะการเงิน (Statement of Financial Position) หรือแต่เดิมเรียกว่า งบดุล (ฺBalance Sheet)ทำให้ได้สมการบัญชี คือ
"สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ืถือหุ้น"
ส่วนรายการ รายได้ (Revenues) และ กำไรสุทธิ (Net Profits) จะำพบได้ใน งบกำไรขาดทุน (Income Statement or Profit and Loss Statement) ทำให้ได้สมการบัญชีขึ้นมาอีกหนึ่งอัน คือ
"รายได้ - ค่าใ้ช้จ่าย = กำไรสุทธิ"
1.) ต้นทุนขาย (Cost of Goods Sold)
2.) ค่าใช้จ่ายในการขาย (Selling Expenses) เช่น ค่าโฆษณา, ค่านายหน้าพนักงานขาย, เงินเดือนฝ่ายขาย, ค่าขนส่งออก (ค่าขนส่งสินค้าไปให้กับลูกค้า) เป็นต้น
3.) ค่าใช้จ่ายในการบริหาร (Administrative Expenses) เช่น เงินเดือนฝ่ายบริหาร, ค่าเบี้ยประกันภัยสินทรัพย์, ค่าเช่า, ค่าน้ำ, ค่าไฟ, ค่าโทรศัพท์, ค่าเสื่อมราคาอาคารและอุปกรณ์ และหนีสงสัยจะสูญ (ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับลูกหนี้ที่คาดว่าจะเก็บเงินไม่ได้) เป็นต้น
4.) ค่าใช้จ่ายอื่น (Other Expenses) เช่น ขาดทุนจากการจำหน่ายสินทรัพย์ เป็นต้น
5.) ต้นทุนทางการเงิน (Financial Costs) เช่น ดอกเบี้ยจ่าย, ค่าธรรมเนียมการกู้ยืม เป็นต้น
6.) ภาษีเงินได้ (Income Tax)
เมื่อเรานำตัวเลขทั้ง 4 มาหาอัตราส่วน จะได้อัตราส่วนต่าง ๆ ดังนี้
1. นำ กำไรสุทธิ (Net Profits) มาหารด้วย รายได้ (Revenues) เรียกว่า "อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)" แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัท เป็นการวัดความสามารถของกิจการในการควบคุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เมื่อเทียบกับยอดขาย หากอัตราส่วนนี้มีค่าสูง แสดงว่า กิจการมีความสามารถในการขาย และควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี
2. นำ กำไรสุทธิ (Net Profits) มาหารด้วย สินทรัพย์ (Assets) เรียกว่า "อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return On Assets : ROA)" เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ธุรกิจใช้ในการดำเนินงาน ค่ายิ่งมาก ยิ่งมีความสามารถในการทำกำไรยิ่งดี
3. นำ กำไรสุทธิ (Net Profits) มาหารด้วย Equity (ส่วนของผู้ถือหุ้น) เรียกว่า "อัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุนรวม (Return On Equity : ROE)" เป็นการวัดความสามรถในการทำกำไรจากเงินทุนของผู้ถือหุ้น หากได้ค่าสูง แสดงว่า ผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง
4. นำ รายได้ (Revenues) มาหารด้วย สินทรัพย์ (Assets) เรียกว่า "อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ (Total Asset Turnover)" แสดงให้เห็นว่า กิจการสามารถนำสินทรัพย์รวมทั้งหมดที่ลงทุนไป นำไปสร้างยอดขายได้กี่เท่า ถ้าอัตรานี้สูง แสดงถึงความมีประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ แต่ถ้าต่ำเกินไป อาจแสดงว่า กิจการมีิสินทรัพย์จำนวนมาก เช่น สินค้าล้าสมัย, ชำรุดเสียหาย, มีสินค้าที่ขายไม่ออก เป็นต้น
5. นำ Equity (ส่วนของผู้ถือหุ้น) มาหารด้วย สินทรัพย์ (Assets) เรียกว่า "อัตราส่วนทุนต่อสินทรัพย์รวม (Equity Ratio)" และจากสมการบัญชีในงบดุล จะได้ว่า ส่วนของผู้ถือหุ้น = สินทรัพย์ - หนี้สิน ทำให้ได้สูตรอีกอย่างหนึ่ง คือ 1 - ( หนี้สิน / สินทรัพย์ ) โดย หนี้สิน หารด้วย สินทรัพย์ เรียกว่า "อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt - Equity Ratio)" ทั้งสองอัตราส่วนนี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่า สินทรัพย์ของกิจการได้มาจากทุนของผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้ ถ้าทั้งสองอัตรานี้สูง แสดงว่า บริษัทมีเจ้าหนี้มากหรือกู้ยืมเงินในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับทุนของบริษัท บริษัทก็ย่อมมีภาระที่จะต้องชำระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีโอกาสเสี่ยงภัยมากขึ้น
ลองฝึกดูงบการเงินและอัตราส่วนทางการเงินของแต่ละบริษัทบ่อย ๆ จะช่วยให้จำได้และเข้าใจยิ่งขึ้น : D
ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เทพ รุ่งธนาภิรมย์ และ อ.ธนเดช มหโภไคย
ลองฝึกดูงบการเงินและอัตราส่วนทางการเงินของแต่ละบริษัทบ่อย ๆ จะช่วยให้จำได้และเข้าใจยิ่งขึ้น : D
ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เทพ รุ่งธนาภิรมย์ และ อ.ธนเดช มหโภไคย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น