แมงเม่า 1.0 (เม่าละอ่อนน้อย)
เป็นแมงเม่าขั้นปฐม ละอ่อนน้อยที่เข้ามาเผชิญโลกกว้าง ยังมองโลกในแง่ดีหวังรวยรวดเร็ว เชื่อคนง่าย ลองผิด ลองถูก เล่นหุ้นตามข่าว เล่นหุ้นตามกระแสที่เขาว่าดี มีคนเชียร์ ชอบตั้งคำถามว่า ทำไมหุ้นตัวนี้ราคาตกลง ? ทำไมตัวนี้ไม่วิ่ง ? ทำไม ? ทำไม ? ทำไม ???
แมงเม่า 2.0 (เม่าเกรียน)
แมงเม่าที่เริ่มผ่านการขาดทุน เริ่มเรียนรู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี รู้จักความเสี่ยงและความเจ็บปวด จนมีการหาความรู้เพิ่มเติม เข้าอบรม หรือเรียนรู้กราฟเทคนิค, ดูสัญญาณซื้อขาย, นับคลื่น 1 2 3 4 5 ร้อนวิชา ชอบโชว์เพาว์ มีอีโก้ ชอบเสี่ยง นิยมเกรียนตามเว็บบอร์ด แต่สุดท้ายก็ยังขาดทุนและพาเพื่อนไปขาดทุน ส่วนมากเพราะมั่นใจมากเกินไป และตัดขาดทุนไม่เป็น
แมงเม่า 3.0 (เม่านักทำนาย)
พัฒนาเรื่องเทคนิค รู้จักจับอินดิเคเตอร์มาทำระบบเทรด หรือเรียนรู้ระบบเทรดจากที่ต่างๆ เริ่มรู้จักการจัดการเงินลงทุน มีกลยุทธ์ ได้กำไรบ้าง สลับขาดทุนบ้าง เพราะติดนิสัยชอบเดาอนาคต ประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป
แม่งเม่า 4.0 (เม่าเทพ)
แมงเม่าปีกเหล็กทนไฟ ใกล้หลุดพ้น เทพไปเลย อยู่ในตลาดมาหลายปี ผ่านวิกฤตการเงิน เข้าใจสัจธรรม ไม่ยึดติดกับราคา ลึกซึ้งในเทคนิค มั่นคงในระบบเทรดของตน มีวินัยในการเล่นสูง อยู่กับปัจจุบัน ไม่คาดเดาอนาคต เก็บตัวไม่ชอบโชว์ เล่นไปบนกระแสของราคาตามแนวโน้ม ถนอมตัวต่อยหนัก เล่นในเกมส์ที่คิดว่ามีโอกาสชนะมากกว่าแพ้
เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ขอยกตัวอย่างหุ้น "PTL" หุ้นเก็งกำไรยอดนิยม เพื่อให้เห็นภาพว่า การเก็งกำไรแท้จริงแล้ว เรากำลังอยู่ในเกมส์ที่มีผู้ล่าและผู้ถูกล่า ทุกคนต้องการกำไร แต่ถ้าไม่มีคนขาดทุน ใครจะได้กำไรหละครับ ? เพราะฉะนั้น การแข่งขันชิงจังหวะจึงเกิดขึ้น ถ้าเราหลงไปในเกมส์หรือหลงไปตามความโลภแพ้ใจตัวเอง สุดท้ายเราก็ต้องกลายเป็นเหยื่ออันโอชะอยู่ดี
ถ้าเราไม่อยากเป็น "แมงเม่าละอ่อนน้อย" หรือ "แมงเม่าบินเข้ากองไฟ" ในตลาดหุ้น เราจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ "ความรู้สึกของแมงเม่า" กับ "การเคลื่อนไหวของราคา" ตามแผนภาพด้านล่าง นี้ก่อน
A คือ “แหยง ไม่กล้าซื้อ” : คือช่วงเวลาหลังหุ้นตกลงมาอย่างมากจนถูกสุดๆ แต่นักลงทุนรายย่อยจะไม่กล้าซื้อ เพราะเพิ่งขาดทุนมา ยังเข็ดไม่หาย และแนวโน้มที่คนส่วนใหญ่วิเคราะห์คือ "มีโอกาสลงต่อ" (ณ จุดที่หุ้นราคาถูก คุณไม่มีทางทราบว่า ราคาถูกที่สุดหรือยัง จนกว่ามันจะผ่านมาสักระยะ แล้วมองย้อนไปในอดีตถึงจะรู้ว่า ช่วงเวลาใดที่ราคาหุ้นถูกที่สุด แต่ไม่ต้องเสียดาย เพราะเราไม่ได้คาดหวังให้คุณซื้อได้ถูกที่สุด แต่ต้องซื้อแล้วได้กำไรเป็นพอ)
B คือ “ขายหมู (สำหรับคนมีหุ้น) : ช่วงที่เพิ่งเริ่มขึ้นใหม่ๆ คนจะยังไม่มั่นใจ คนที่ถือหุ้นเอาไว้ (อาจจะซื้อที่ยอดดอย หรือ ซื้อที่ราคาต่ำ) ก็จะขายทำกำไรออกมาก่อน ซึ่งช่วงนี้ ราคาจะค่อยๆ ขยับขึ้นอย่างช้าๆ เพื่อบีบให้คนกลัวขายออกมาให้หมด และจะขึ้นแบบไม่มีวอลุ่มมาก แสดงว่า แมงเม่ายังไม่เข้ามาแจม
C คือ “ตกรถ (เสียดาย)” : เมื่อรายย่อยขายหุ้นออกไปจำนวนมาก ราคาจะเริ่มขึ้นเร็วขึ้น มีแต่คนบ่นว่าตกรถ แต่ก็ไม่กล้าซื้อช่วงนี้ เซียนหุ้นมือใหม่ (แมงเม่านั่นเอง) จะแสดงความเก่งว่า “เดี๋ยวมันก็ลงมา เราจะไม่หลงกลเข้าไปซื้ออีกเด็ดขาด”
D คือ “ไล่ซื้อตาม (ยังไม่ประมาท)” : หลังจากอดทนรออยู่นาน ก็จะเริ่มทนไม่ไหว เพราะราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นไปต่อ ยิ่งหุ้นที่เราเคยเล่นด้วยแล้ว มันน่าเข้าไปเล่นตามน้ำ เอากำไรเล็กๆ น้อยๆ แก้เบื่อดีกว่าอยู่เฉยๆ
E คือ “ขายทำกำไร (เริ่มลำพอง)” : หลังจากเข้าไปซื้อหุ้นที่ตัวเองเคยเล่น ก็สามารถหาจังหวะขายตามน้ำได้ และได้กำไรกันเล็กๆ น้อย เพราะเอากำไรในช่วงสั้นๆ ช่วงนี้รายย่อยจะเข้ามาในตลาดกันเยอะ และยิ่งกำไร จะยิ่งลำพองมากขึ้น
F คือ “ขายแล้ววิ่งต่อ (เสียดาย น่าจะซื้อเยอะกว่านี้ และรออีกหน่อย)” : หลังจากที่ขายหุ้นทำกำไรไปแล้ว ราคาหุ้นอาจจะวิ่งไปต่ออีกหน่อย และเป็นช่วงที่มีปริมาณการซื้อขายสูงมากที่สุด แสดงว่า รายย่อยเข้ามาเต็มตลาดแล้ว และ หุ้นก็เริ่มมีการเปลี่ยนมือสู่รายย่อยกันเยอะขึ้น
G คือ “ลงมาให้ซื้อกลับ (ดีใจมากที่มันลงมาต่ำกว่าที่เคยขายไป)” : หลังจากตลาดผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ก็มีการปรับตัวลงมาบ้าง ซึ่งตอนนี้จะมีรายย่อยเข้ามารับหุ้นกลับ
H คือ “โลภซื้อเพิ่ม (คิดว่ามันคงจะเด้งกลับไป)” : หลังจากซื้อไปแล้ว หุ้นยังลงมาต่อ ด้วยความโลภ อยากเอากำไรให้เต็มที่กว่าคราวที่แล้ว จึงซื้อเพิ่มด้วยความดีใจว่า "ซื้อได้ถูกกว่าเดิมอีก !"
I คือ “เครียด แต่ไม่ขาย (เริ่มเสียวๆ แต่ขายไม่ลง)” : หลังจากซื้อถัวไป หลายรอบเงินก็เริ่มหมด แต่หุ้นก็ยังลงต่อ การจะตัดใจขายก็ทำไม่ลง เพราะต้นทุนครั้งแรกก็สูงเหลือเกิน กะว่าจะรอให้มันเด้งอีกสักทีจะขาย
J คือ “ตัดใจขาย (กลัวขาดทุนเพิ่ม)” : อดทนอยู่ในความเครียด เห็นหุ้นลงต่อเนื่องมาหลายวัน เริ่มทนไม่ได้ และหุ้นก็มีแนวโน้มจะลงต่อ เป็นช่วงที่ตลาดจะมีข่าวร้ายเข้ามามากกว่าข่าวดี เพื่อป้องการการขาดทุนมากกว่านี้ จึงตัดใจขาย และคิดว่า "จะไม่ไปยุ่งกับ หุ้นตัวนี้อีก"
แล้วก็วนกลับมายังจุด A ไปยัง J อีกครั้ง วนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะขาดทุนจนเลิกเล่นหุ้น แล้วคนใหม่ๆ ก็เข้ามาแทนที่ กลายเป็น "วัฏจักรของนักเล่นหุ้นที่ไม่สบความสำเร็จ"
สุดท้ายนี้มาตรวจสอบกันหน่อยดีกว่าว่า คุณเป็นเทพจ้าแห่งแมงเม่าหรือไม่ ???
1. แมงเม่าที่ล้มเหลวในการลงทุน มีมากกว่ามาก ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ประสบความสำเร็จ ฉะนั้นเขาจะไม่ค่อยเข้าใจว่า คนที่เขาประสบความสำเร็จจริง ๆ เขาพูดเรื่องอะไร ? หมายความว่าอย่างไร ? เหมือนคุยกันคนละภาษา
2. แมงเม่าไม่เคย มีสมาธิในการคิด + พิจารณาว่า "ทำไม ? เพื่ออะไร ? เพื่อใคร ?"
3. แมงเม่าไม่ค่อยระแวงว่า "ตนเองกำลังเดินทางไปไหน ? อย่างไร ? จุดสิ้นสุดเป็นที่ใด ?"
4. แมงเม่าชอบทำตาม ๆ กันกับคนส่วนใหญ่ เมื่อเขาฮิตทำกำไรกันจากอะไร ก็จะแห่กันไปใช้วิธีนั้น ๆ ในการเอามาเป็นเครื่องมือในการลงทุน จึงกลายเป็นคำกล่าวว่า "80 คนเจ๊ง 10 คน เสมอตัว 10 คนกำไรจากคนใน 80 คน"
5. แมงเม่าไม่ชอบใช้เหตุผล และการพิจารณาในการซื้อขายหุ้น แต่ชอบใช้ "ความสดวก+หลอกตัวเอง" ว่าต้องเป็นแบบนี้แหละ
6. แมงเม่าไม่กลัวเจ็บปวด จึงไม่รวยสักที !
7. แมงเม่าชอบใช้เหตุการณ์ในอดีต มาเป็นเครื่องมือชี้เหตุการณ์ในปัจจุบัน จึงถูกหลอกได้ง่าย ๆ
8. แมงเม่า ไม่ชอบการเรียนรู้ที่ยากลำบาก แต่สำเร็จผล !
9. แมงเม่า ชอบคนที่มีความคิดเห็นตรงกัน และจะพยายาม "แอนตี้" คนที่คิดไม่เหมือนกับตน ... ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็มีใจยอมรับ
10. แมงเม่า ชอบยึดติด เพราะเคยทำแล้วผ่าน (มีกำไร) และไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เพราะการเปลี่ยนแปลงมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และซับซ้อนกว่า (หากเล่นหุ้นมันง่าย ๆ อย่างที่หนังสือเขียนไว้..คนเล่นหุ้นก็รวยกันหมดแล้วหล่ะครับ ?)
2. แมงเม่าไม่เคย มีสมาธิในการคิด + พิจารณาว่า "ทำไม ? เพื่ออะไร ? เพื่อใคร ?"
3. แมงเม่าไม่ค่อยระแวงว่า "ตนเองกำลังเดินทางไปไหน ? อย่างไร ? จุดสิ้นสุดเป็นที่ใด ?"
4. แมงเม่าชอบทำตาม ๆ กันกับคนส่วนใหญ่ เมื่อเขาฮิตทำกำไรกันจากอะไร ก็จะแห่กันไปใช้วิธีนั้น ๆ ในการเอามาเป็นเครื่องมือในการลงทุน จึงกลายเป็นคำกล่าวว่า "80 คนเจ๊ง 10 คน เสมอตัว 10 คนกำไรจากคนใน 80 คน"
5. แมงเม่าไม่ชอบใช้เหตุผล และการพิจารณาในการซื้อขายหุ้น แต่ชอบใช้ "ความสดวก+หลอกตัวเอง" ว่าต้องเป็นแบบนี้แหละ
6. แมงเม่าไม่กลัวเจ็บปวด จึงไม่รวยสักที !
7. แมงเม่าชอบใช้เหตุการณ์ในอดีต มาเป็นเครื่องมือชี้เหตุการณ์ในปัจจุบัน จึงถูกหลอกได้ง่าย ๆ
8. แมงเม่า ไม่ชอบการเรียนรู้ที่ยากลำบาก แต่สำเร็จผล !
9. แมงเม่า ชอบคนที่มีความคิดเห็นตรงกัน และจะพยายาม "แอนตี้" คนที่คิดไม่เหมือนกับตน ... ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็มีใจยอมรับ
10. แมงเม่า ชอบยึดติด เพราะเคยทำแล้วผ่าน (มีกำไร) และไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เพราะการเปลี่ยนแปลงมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และซับซ้อนกว่า (หากเล่นหุ้นมันง่าย ๆ อย่างที่หนังสือเขียนไว้..คนเล่นหุ้นก็รวยกันหมดแล้วหล่ะครับ ?)
12. แมงเม่าเป็นคนใจแคบ ไม่กล้ายอมรับ "ความจริง"
13. แมงเม่าไม่ค่อยรู้ตัวเองว่า เป็นนักลงทุนแบบไหน ประเภทใด เช่น เล็กสั้นขยันซอย หรือ เล็ก ๆ ไม่ ใหญ่ ๆ ชอบ ซึ่งหมายถึง ไม่เคยรู้ตัวเองเกี่ยวกับ เงินในกระเป๋า, สุขภาพจิต, ตนเองควรเป็นนักลงทุนแบบใด (สั้นจิ๊ดเดียว / สั้น ๆ / สั้น / สั้น+กลาง / กลาง+ยาว / ยาวจริง) เมื่อไม่รู้จักตนเอง ก็ไม่สามารถจะปรับกระบวนท่าหรือกลยุทธ์ใด ๆ ได้เลย เพราะมันจะขัดแย้งกันเองทั้งหมด และจะทำให้สับสนในการตัดสินใจซื้อขายหุ้น
14. แมงเม่าส่วนใหญ่ เป็นคนใจร้อน และอารมณ์อ่อนไหวง่าย
15. แมงเม่าไม่ชอบ "ทำการบ้าน" ชอบลุยกันสด ๆ ในช่วงเวลาเทรดเท่านั้น
16. แมงเม่า มักไม่ยอมรับสภาพตนเองว่า "โอกาส+เงินทุน+เวลา+แหล่งข้อมูล+วาสนา" ของตนเอง มีความพร้อมและเปิดโอกาสให้ตนเอง นำไปสู่ความสำเร็จในวงการนี้มากน้อยเพียงไร ? สมควรจะยึดเป็นงานหลัก หรือ งานอดิเรก หรือ เลิกดีกว่า ?
17. แมงเม่า กลัวติดหุ้น แต่ไม่กลัวติดดอย (2 คำนี้ มีความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง)
18. แมงเม่า ไม่เคยสร้าง หรือศึกษากลยุทธ์ในการเล่นหุ้นเลย สักแต่เพียงว่า "หุ้นลงขาย ๆ ๆ - ขายไม่ทัน คือ ฉันยอมติดหุ้น - เมื่อเวลาเห็นหุ้นขึ้น ฉันต้องซื้อ ๆๆๆ - หากซื้อไม่ทัน ฉันรับไม่ได้ ฉันกลัวตกรถ" เลยไม่รู้กันเลย จุดซื้อหรือจุดขายมันอยู่ตรงไหนกันแน่ ?
19. แมงเม่า "ไม่ชอบทำบัญชี" ให้กับตนเองว่า 1 เดือน หรือ 6-12 เดือน หรือมากว่านั้น พอร์ทมีกำไร หรือติดลบ
20. แมงเม่า ไม่นิยมการสังเคราะห์ ก่อนการปฎิบัติจริง
21. แมงเม่า ชอบหุ้นตัวเล็ก ๆ เพราะรู้สึกว่าซื้อได้เยอะดี แล้ววิ่งได้ไวไฟ ในขณะที่หุ้นตัวใหญ่ ๆ แทบไม่เคยแตะ
22. แมงเม่า ชอบดูกระดาน top gainer มากกว่า top loser
23. แมงเม่า มักดีใจเมื่อขายขาดทุนแล้วหุ้นตกลงไปอีก แต่ในขณะที่สุดเซ็ง เมื่อขายหมูอู๊ด ๆ ได้กำไรแต่หุ้นวิ่งเอา ๆ อย่างไม่เกรงใจ
23. แมงเม่า ใช้เวลาตัดสินใจซื้อหุ้นเร็วยิ่งกว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี
24. แมงเม่า มักมั่นใจในตัวเองว่าหากซื้อหุ้นแล้วโดนเจ้าทุบ ตัวเองก็จะเผ่นทัน แต่เอาเข้าจริงมักตัดสินใจไม่ทัน
25. แมงเม่า มักถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งไม่เกิน 3 วัน
27. เมื่อเห็นเขาทุบหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ แมงเม่ามักตกใจรีบขาย หลังจากขายเสร็จทันใดนั้นหุ้นก็มักขึ้นต่อ
28. ถ้าไม่มีหุ้นที่ถืออยู่เป็นพิเศษ แมงเม่ามักชอบเล่นราคาเปิดราคาปิดกระโดดเอากำไรส่วนต่างวันต่อวันหรือระหว่างวัน
29. หุ้นที่ตัวเองตั้งใจจะซื้อจากการวิเคราะห์อย่างดี แมงเม่าจะไม่ซื้อ แต่จะไปซื้อตัวอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ได้เล็งเอาไว้ก่อน
30. แมงเม่าไม่ชอบถือหุ้นหลายตัว เพราะรู้สึกว่ากำไรไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
31. หลายครั้ง หุ้นที่ซื้อ แมงเม่าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบริษัทนั้นทำมาหากินอะไร
32. แมงเม่า ไม่ชอบ let profit run เพราะชอบถือหุ้นไม่เกิน 3 วัน ตรงกันข้ามหลายครั้งที่ let loss run เพราะปลอบใจตัวเองว่ามันคงจะกระเตื้องขึ้นบ้างหล่ะน่าาาา แล้วจะ cut loss เมื่อมันใกล้ bottom เต็มทนแล้ว
33.แมงเม่า มักมีหุ้นที่เล็งไว้เสมอ ไม่ว่าตลาดจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง
34. แมงเม่า ชอบแหกกฎการเทรดที่ตัวเองตั้งเอาไว้เสมอ
35. แมงเม่า มีญาณวิเศษที่มักซื้อหุ้นได้เหมือน ๆ กัน (ตัวเดียวกัน) โดยมิได้นัดหมาย
คุณมีคุณสมบัติครบทั้ง 35 ข้อหรือเปล่าครับ ? ถ้ามียิ่งมาก เส้นชัยแห่งการลงทุนของคุณก็จะยิ่งห่างไกลออกไป ดังนั้นคุณจะต้องปรับตัว ปรับใจ โดยการเอาชนะใจตัวเองให้ได้เสียก่อน และไม่ใช้อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แล้ววันแห่งชัยชนะจะเป็นของคุณ
... ขอให้มุ่งมั่นต่อไปนะครับ ถ้าอย่าท้อ และท้อถอย แต่จงสู้ต่อไป ...
ที่มา :
- http://www.cway-investment.com/2011/02/blog-post_16.html
- http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=mhakkeaw&group=16&page=6
- http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2007/11/I6007814/I6007814.html
- http://www.oknation.net/blog/print.php?id=306124
- http://survivor1989.blogspot.com/2011/07/blog-post.html