วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

มารู้จัก Elliott Wave กันเถอะ



หลักการของ Elliot Wave เกิดจาก 3 แนวคิดมารวมกัน คือ
1. Action = Reaction คือ เมื่อมีขึ้น ก็ย่อมมีลง เมื่อหุ้นขึ้นจนเต็มที่แล้ว ก็จะถึงจุดที่มันต้องลง และในทางกลับกัน ถ้าหุ้นมันลงจนถึงจุดอิ่มตัวแล้ว มันก็พร้อมจะเป็นขาขึ้น ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในลักษณะคลื่นต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ
2. คลื่น ประกอบด้วย คลื่นขาขึ้น (Impulse Wave) 5 ลูก ประกอบด้วย 1-2-3-4-5 และ คลื่นขาลง (Corrective Wave) 3 ลูก ประกอบด้วย a-b-c
3. วงจรหุ้นหรือวงจรตลาด 1 รอบ จะประกอบด้วย Impulse Wave และ Corrective Wave ตามนี้ไปตลอด

เมื่อเอา 3 หลักการมารวมกัน จะได้คลื่น ดังภาพด้านล่างนี้




รายละเอียดแต่ละคลื่น
- Impulse Wave

คลื่น 1 เป็นคลื่นแรกหลังจากตลาดปรับฐาน การปรับตัวขึ้นจะยังไม่แรงมาก เพราะนักลงทุนไม่แน่ใจว่าข่าวร้ายหมดไปแล้ว คลื่นนี้ปริมาณการซื้อขายจะเบาบาง แต่แรงขายก็มีไม่เยอะ

คลื่น 2 เป็นการปรับฐานหลักจากนักลงทุนที่ลงทุนไปตั้งแต่คลื่น 1 ได้กำไรมาพอสมควร สาเหตุของการขายทำกำไรระยะสั้นนี้ เพราะนักลงทุนกลุ่มนี้ยังไม่มั่นใจว่าตลาดจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปต่อหรือเปล่า และอาจมีนักลงทุนที่ขาดทุนตั้งแต่รอบขาลงรอบที่แล้วด้วย เพราะเชื่อว่าเป็นแค่การรีบาวน์ระยะสั้น ๆ เท่านั้น

คลื่น 3 ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับคลื่น 1 และ 2 ตลาดมีความมั่นในมากขึ้น โดยปกติแล้ว คลื่น 3 นี้ จะเป็นคลื่นที่ได้กำไรมากที่สุด เพราะเป็นคลื่นที่กินระยะเวลานานกว่าคลื่น 1 และ 5 รวมทั้งส่วนใหญ่เป็นคลื่นที่มีความชันมากที่สุดอีกด้วย

คลื่น 4 เมื่อพบจุดสูงสุดของคลื่น 3 ก็จะมีแรงขายออกมา ซึ่งบริเวณนี้ ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นหรือตลาด ได้มาถึงราคาที่เหมาะสมแล้ว หรืออาจมีข่าวร้ายที่มีนัยสำคัญ กระทบต่อราคาหุ้นหรือปัจจัยตลาดอย่างรุนแรง แต่ด้วยภาวะตลาดที่เป็นขาขึ้น นักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นสูง จึงทำให้ยังมีแรงซื้อกลับจากนักลงทุนที่ยังเชื่อว่าตลาดไปต่อได้ หรือเกิดจากนักลงทุนที่ตกรถในคลื่น 3

คลื่น 5 วิ่งเพราะอารมณ์ตลาด ในคลื่นนี้ ข่าวดีจะมีเต็มหน้าหนังสือพิมพ์ กลบข่าวร้ายที่มีผลต่อตลาดหมด

- Corrective Wave

คลื่น a นักลงทุนจะขายออกมาในปริมาณมาก บ่อยครั้งเกิดจากข่าวร้ายที่กระทบกับปัจจัยพื้นฐานแบบฉับพลัน

คลื่น b นักเก็งกำไรระยะสั้น และนักลงทุนบางกลุ่ม ยังเชื่อว่าปัจจัยนั้นไม่น่ากระทบกับราคาหุ้นมาก จึงทำการเข้าซื้ออีกครั้ง โดยการรีบาวน์ขึ้นจะไม่สูงกว่าจุดสูงสุดของคลื่น 5

คลื่น c เกิดจากการขายอย่างตื่นตระหนก (Panic Sell) นักลงทุนหมดความหวังกับหุ้นตัวนี้หรือภาวะตลาดในช่วงนั้น โดยในปลายคลื่น c แรงขายจะลดลงเหลือเบาบาง สะท้อนว่า คนที่อยากขายได้ขายออกมาจนใกล้จะหมดแล้ว

กฎและแนวทางการนับคลื่น

Rule 1 : Wave 2 can never retrace more than 100% of wave 1.
กฏข้อที่ 1 : Wave 2 จะต้องไม่ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของ Wave 1

Wave 2 มักจะประกอบด้วยคลื่นย่อย a-b-c ถ้าเรานับคลื่นแล้วเห็นว่า Wave 2 ลงมาแรงกว่าจุดเริ่มต้นของ Wave 1 ให้รู้ทันทีว่า "ผิด" โดยสามารถนำไปใช้เป็นกลยุทธ์ในการเข้าลงทุนในจังหวะที่ดีจุดหนึ่ง ซึ่งก็คือ การเข้าซื้อในช่วงเริ่มต้นของ Wave 3 ตามรูปด้านล่าง




ขั้นที่ 1 ต้องดูว่า ขาลงที่เราเห็น (รูปด้านซ้าย) ลงมาต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น 1 หรือเปล่า (เส้นประสีแดงด้านล่าง) หากไม่ต่ำกว่า และมีการดีดตัวขึ้นไป ให้เตรียมเงินไว้ทันที

ขั้นที่ 2 หากราคาหุ้นหรือดัชนี สามารถทะลุผ่านจุดสูงสุดของคลื่น 1 ได้ (รูปด้านขวา) นักลงทุนต้อง “ซื้อตาม” (Follow Buy) เพราะมีโอกาสสูงมากที่คลื่นลูกนี้จะเป็นคลื่น 3 ซึ่งเมื่อรวมกับกฏที่ว่า “Wave 3 ต้องไม่สั้นที่สุด”ก็หมายความว่า กำไรจากการเข้าซื้อลงทุนตรงจุดนี้มีสูงมาก

กรณีที่ไม่เป็นอย่างที่เราหวังไว้ ยกตัวอย่างเช่น เด้งแล้ว แต่ไม่สามารถผ่านจุดสุงสุดของคลื่น 1 ไปได้ หรือผ่านไปได้ แต่ดันโดนเทขายลงมาท ำให้ราคาต่ำกว่าจุดสูงสุดของคลื่น 1 อีกครั้ง สิ่งที่ควรทำ คือ "ตัดขาดทุน (Cut Loss)" ออกไปก่อน เพราะรูปแบบโครงสร้างราคาไม่ได้เป็นไปตามที่เรามองไว้

เราสามารถนำหลักการ Elliott Wave ข้อนี้ มาใช้กำหนดกลยุทธ์การลงทุนได้ คือ “Buy The Breakout” หรือ ซื้อเมื่อทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) ซึ่งนักเทคนิคหลายคนก็นำไปปรับใช้ในการเทรด ถึงแม้นับคลื่นไม่เป็น แต่พอเห็นรูปแบบนี้ ก็ซื้อตาม และมีโอกาสทำกำไรสูงด้วย

Rule 2 : Wave 4 may never end in the price territory of wave 1.
กฏข้อที่ 2 : Wave 4 จะต้องไม่ต่ำกว่า Wave 1

คลื่น 4 เป็นคลื่นปรับฐาน จะลงลึกเท่าไหร่ก็ได้ แต่ต้องไม่ต่ำกว่าจุดสุงสุดของคลื่น 1 หากต่ำกว่า แสดงว่าเรานับ "ผิด" หมด ต้องเริ่มนับใหม่ ในด้านการวางแผนการเทรด สมมติว่าอยู่ในคลื่นลูกที่ 3 ด้วยกฏข้อนี้ เขาจะใช้จุดสูงสุดของคลื่นลูกที่ 1 เป็นแนวรับสำคัญ ทันทีที่หลุดแนวรับดังกล่าวลงมา แปลว่า ราคาหุ้นหรือดัชนีนั้น ๆ เข้าสู่ขาลง จุดนี้จึงถือเป็นจุด Stop Loss ที่สำคัญอีก 1 จุด




ข้อสังเกตประการหนึ่ง คือ ความแรงของคลื่น 4 ส่วนใหญ่จะแรงกว่าคลื่น 2 ซึ่งเป็นคลื่นขาลง (Corrective Wave) เหมือนกัน ความยากก็คือ อาจลงแบบทีเดียวจบ แล้วตามด้วยการเข้าสู่คลื่น 5 ทันทีก็ได้ ดังนั้น นักลงทุนที่เข้าลงทุนในช่วงนี้ จะต้องทนทั้งความผันผวนที่สูงขึ้น และ Upside จากการลงทุนน้อยกว่านักลงทุนที่ลงทุนในช่วงคลื่น 3 ถ้าใครจะลงทุนช่วงนี้ ควรลงทุนระยะสั้น และกำหนดจุด Stop Loss รวมทั้งต้องทำตามวินัยอย่างเคร่งครัด

Rule 3 : Wave 3 may never be the shortest impulse wave of waves 1, 3 and 5.
กฏข้อที่ 3 : Wave 3 ต้องไม่สั้นที่สุด

คำว่า ไม่สั้นที่สุด หมายถึง คลื่น 3 อาจจะเป็นคลื่นที่ยาวที่สุดในคลื่นขาขึ้น (Impulse Wave) แต่ถ้าไม่ยาวที่สุด ก็ต้องไม่สั้นที่สุด เช่น คลื่น 1 อาจยาวกว่าคลื่น 3 ก็ได้ แต่คลื่น 3 ต้องยาวกว่าคลื่น 5 ถ้าปรากฏว่า คลื่น 3 สั้นกว่าคลื่น 5 ด้วย จะทำให้่ึคลื่น 3 สั้นที่สุด ถือว่า "ผิด"




วิธีการดูว่า ขาขึ้น (Impulse Wave) หมดรอบไปแล้ว ?
วิธีที่ 1
1. หาคลื่น 2 และ 4 ให้เจอก่อน
2. ลากเส้นแนวโน้มขึ้น (Uptrend Line) ไว้
3. เมื่อดัชนีหรือหุ้นของเราตกลงมาต่ำกว่าเส้นนี้ ถือว่าเข้าสู่ Corrective Wave ตามรูปด้านล่าง




วิธีที่ 2
หา Bearish Divergence (จุดกลับตัว) ซึ่งก็คือ ดัชนีหรือราคาหุ้นทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) แต่เครื่องมือทางเทคนิค เช่น RSI หรือ MACD ไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ด้วย ระวัง !!! การเข้าซื้อเพิ่ม ขอยกตัวอย่างดัขนี SET Index เมื่อตอนช่วงปี 2006-2008 ตามภาพต่อไปนี้




สำหรับในช่วง Corrective Wave หากเจอ Bullish Divergence ซึ่งก็คือ ดัชนีหรือราคาหุ้นทำจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low) แต่เครื่องมือทางเทคนิคกลับไม่ทำจุดต่ำกว่า แสดงว่า แรงขายใกล้หมดแล้ว แนะนำ !!! เตรียมเงินเข้าซื้อ

คลื่นขาขึ้น และขาลง ในแต่ละคลื่น อาจจะมีคลื่นลูกเล็กลูกน้อย ซึ่งผู้ใช้ต้องจินตนาการเอาเองว่าจะนับด้วยวิธีไหน ดังเช่นรูปด้านล่างนี้




จากงรูป จะเห็นว่า ในคลื่น 1, 3 และ 5 อาจจะประกอบไปด้วยคลื่นลูกเล็ก ๆ อีก Wave ละ 5 คลื่นด้วยกัน (minor impulse wave) และคลื่น 2 และ 4 ก็เป็นไปได้ว่า จะมี a-b-c เล็ก ๆ อยู่ในนั้นอีก

เรื่องที่นักลงทุนสามารถเอาแนวคิด Elliot Wave ไปใช้ได้ คือ ภาวะตลาด และอารมณ์ของนักลงทุนในแต่ละคลื่น ถ้าเรารู้ว่ามวลชนในตลาดอยู่ในภาวะแบบไหน ก็จะพอเดาได้ว่า อยู่ในคลื่นไหน ควรซื้อ ถือ หรือขาย

ซื้อ-ขาย โดยใช้ Fibonacci
ลำดับตัวเลข Fibonacci (Fibonacci Sequence) ได้แก่ 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34, 55, 89, 144, 233, 377, ... โดยตัวเลขตั้งแต่ตำแหน่งที่ 3 เป็นต้นไป เกิดจากกการนำตัวเลข 2 ตัวข้างหน้ามาบวกกัน เช่น 1+1=2, 1+2=3, 2+3=5, 3+5=8 ไปเรื่อย ๆ

ในการคำนวณสัดส่วน Fibonacci จะยกเว้นการคำนวณในตัวเลขลำดับ 5 ตัวแรก คือ 1, 1, 2, 3, 5
1. เมื่อนำเลขลำดับแรกหารด้วยลำดับถัดไป 1 ตำแหน่ง เช่น 8 หารด้วย 13, 13 หารด้วย 21, 21 หารด้วย 34 เมื่อหารอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ค่าที่ได้จะเข้าใกล้ 0.618
2. เมื่อนำเลขลำดับแรกหารด้วยลำดับถัดไป 2 ตำแหน่ง เช่น 8 หารด้วย 21, 13 หารด้วย 34, 21 หารด้วย 55 เมื่อหารอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ค่าที่ได้จะเข้าใกล้ 0.382
3. เมื่อนำเลขลำดับแรกหารด้วยลำดับถัดไป 3 ตำแหน่ง เช่น 8 หารด้วย 34, 13 หารด้วย 55, 21 หารด้วย 89 เมื่อหารอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ค่าที่ได้จะเข้าใกล้ 0.236
4. จำนวนเท่าของตัวเลข Fibonacci คือ 0.618, 0.618+1.00 = 1.618, 1.00+1.618 = 2.618 และ 1.618+2.618 = 4.236

สัดส่วนตัวเลข Fibonacci ที่นิยมนำมาวิเคราะห์หาแนวรับแนวต้าน ประกอบด้วย 0.236, 0.382 และ 0.618 รวมทั้งเพิ่ม 0.500 ด้วย เมื่อวิเคราะห์จะหาอยู่ในรูปเปอร์เซ็นต์ ดังนี้ 23.6%, 38.2%, 50% และ 61.8%

ขั้นตอนการนำไปใช้
1. มองภาพคลื่นใหญ่ หาจุดเริ่มต้น (Wave 1) ให้เจอ หรือหากหาจุดสิ้นสุดของ Wave C ในรอบที่แล้วได้ เราก็ได้ Wave 1 ของรอบใหม่
2. พิจารณาว่า เราอยู่ในคลื่นลูกที่เท่าไร 1-2-3-4-5 หรือ a-b-c เพื่อใช้ในการคาดคะเนว่า ตัวเลขแนวต้าน-แนวรับตรงไหน น่าจะสำคัญ สำหรับคลื่นลูกนั้น ๆ
3. หากลองนับแล้ว ไม่รู้ว่าคลื่นใหญ่มันจะไปจบแถวไหน ก็วัดคลื่นย่อยช่วย เช่น อยู่ใน Wave 3 และไม่แน่ใจคลื่นลูกนี้ใกล้จะจบหรือยัง ก็เข้าไปดูกราฟรายย่อยลงไป เพื่อดูคลื่นย่อย เราอาจจะพบว่า คลื่นย่อยก่อตัวครบ 5 คลื่นแล้ว กำลังจะปรับฐาน แสดงว่า ในคลื่นใหญ่ กำลังเข้าสู่ Wave 4 อาจจะขายเอากำไรออกมาก่อนก็ได้
4. การปรับฐาน (Retrace) ที่เกิดขึ้น ให้ใช้สัดส่วนตัวเลข Fibonacci มาช่วยหาแนวรับ โดยใช้จุดเริ่มต้นของคลื่นนั้นเป็น 0% และใช้ปลายยอดของคลื่นนั้นเป็น 100% เพื่อวัดหา Fibonacci Retracement ก็จะได้แนวรับทางทฏษฏี Fibonacci ที่อยู่ในสัดส่วน 23.6%, 38.2%, 50% และ 61.8% ถ้าใช้ Fibonacci กับกฏข้อที่ 2 ก็จะทำให้มีความแม่นยำเพิ่มสูงขึ้น




การหาราคาเป้าหมาย (Target Price)
โดยปกติ หากเจอการปรับฐาน เราจะใช้จุดสูงสุดเดิมของคลื่นลูกก่อนหน้าเป็นแนวต้านแรก แต่ถ้าราคาหุ้นดีดมาไม่ถึงจุดสูงสุดเดิม ก็มีแนวโน้มดีดขึ้นมาได้ 23.6%, 38.2%, 50% และ 61.8% ของจุดสุงสุดของคลื่นลูกก่อนหน้ากับจุดต่ำสุดของการปรับฐานที่เพิ่งจะเกิดขึ้น แต่หากราคาหุ้นสามารถทะลุผ่านจุดสุงสุดเดิมได้ ทำ Higher High ราคาเป้าหมาย ก็คือ 161.8%, 261.8% หรือหากเป็นคลื่นที่แรงจริง ๆ ก็สามารถวิ่งขึ้นได้ถึง 423.6%

ขอให้นักลงทุนนำบทความนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการลงทุนนะครับ
โชคดีในการลงทุนทุกคนนะครับ : )

ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก
- คุณชยนนท์ รักกาญจนันท์ ตำแหน่ง Strategy and Portfolio Performance Section Head ของฝ่ายธนบดี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในเว็บ Fundmanagertalk.com
- Elliotwave.com
- หนังสือ "พิชิตหุ้น และอนุพันธ์ด้วยปัจจัยทางเทคนิคชั้นสูง" ของ ป.ดัชนี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น