วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อ่านก่อน !!! ลาออกมาเล่นหุ้นอย่างเดียว



ถ้าใครคิดจะเป็น full time investor หรือจะมาเป็น full time trader สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือ ประสบการณ์ ไม่ต่างจากการทำงาน ถ้าจะเป็นเทรดเดอร์เก็งกำไรรายวัน แต่ยังเล่นหุ้นรายวัน ไม่เก่ง สถิติไม่ดี จำนวนครั้งที่ได้กำไรน้อยกว่าขาดทุน ก็ไม่ควร หรือว่าจะลงทุนเป็นรอบ แต่ยังไม่เคยที่พอร์ตชนะตลาดได้ ก็ถือว่ายังไม่ใช่

หลายคนคิดว่าหุ้น หาเงินได้ในเวลาไม่นาน และมักติดกับการที่ได้กำไรมาบางครั้ง จนลืมมองไปว่า โอกาสที่ขาดทุนก็มีมาก การลาออกมาหารายได้จากหุ้นอย่างเดียว ความกดดันจะเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นหลายเท่า เพราะเมื่อคุณหาเลี้ยงตัวเองด้วยหุ้น รายได้มาจากหุ้นอย่างเดียว การขาดทุน หมายถึง อดตาย ติดดอย

การคิดว่า การไปอบรม/สัมมนา 2 - 3 คอร์ส ทั้งฟรีหรือเสียตังค์ แบบแพงหรือไม่แพงก็ตาม รวมทั้งการซื้อหนังสือแนวคิดการลงทุนต่าง ๆ ทั้งปัจจัยพื้นฐาน หรือเทคนิค หรือหนังสือของคนที่ประสบความสำเร็จมาอ่านก็เอาอยู่แล้ว บอกได้เลยว่า ไม่รอด เพราะตราบใดก็ตามที่เรายังหาสไตล์การลงทุนที่เหมาะกับตัวเราหรือจังหวะการลงทุนไม่ได้ โอกาสที่ผลตอบแทนจะชนะตลาดนั้นแทบเป็นไปได้ยากมากเลยทีเดียว

 เราอาจจะเคยได้เพราะเป็นช่วงตลาดขาขึ้น เช่นต้นปี แต่หลังจากนี้ไป เมื่อดัชนีขึ้นสูงหลักพัน ภาวะเศรษฐกิจแย่ ตลาดผันผวนมาก โอกาสที่จะขาดทุน หมดตัวก็มีสูง ยิ่งจิตใจไม่นิ่ง และพยายามไปคิดว่าต้องได้เงิน ต้องทำเงินทุกเดือน เหมือนกับการทำงานประจำ เรายิ่งเน่า เพราะมันเป็นการไปเร่งตัวเอง ให้เสี่ยง ให้โลภ เกินความสามารถที่เราจะรับความเสี่ยงนั้นได้

ถ้าจะลงทุนเป็นอาชีพ เล่นหุ้นเป็นอาชีพ ไม่ใช่ว่ามีแค่เงินเท่านั้นจะเพียงพอและประสบความสำเร็จในการลงทุน แต่สิ่งที่ต้องมีเพิ่มเติมอีก ซึ่งทำให้นักลงทุนแต่ละคนแตกต่างกัน คือ

1. วินัย
2. ประสบการณ์
3. วิธีคิดที่ถูก

ถ้ายังติดดอย เพิ่งเล่นหุ้น และยังไม่เข้าใจตลาดหุ้นดีจริง ก็ไม่ควรเอาอนาคตไปเสี่ยง การลงทุน การเก็งกำไร แม้จะหาเงินมาได้ง่ายแต่ก็มีความไม่แน่นอน หรือผันผวนมาก มากเกินที่เราจะไปประมาทกับมัน ดังนั้นถ้าเบื่องานประจำ ก็ควรเปลี่ยนมาทำงานที่เราอยากทำ งานที่เรารัก งานที่อาจจะเคยเป็นงานอดิเรกมาก่อน เพื่อสร้างรายได้ และใช้การลงทุนเป็นตัวสร้างรายได้เสริม โดยการสร้างผลตอบแทนดีกว่า ถ้าจะออกจากงานประจำมาเล่นหุ้นก็ต้องมีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างก่อนนะ

รายได้ของคนเรามี 2 ทาง คือ


1. Active Income เป็นรายได้ที่ได้มาจากการลงแรง เช่น เงินเดือน, ค่านายหน้า, วิชาชีพต่าง ๆ, การทำธุรกิจ
2. Passive Income เป็นรายได้ที่ได้มาจากการลงทุน เช่น ดอกเบี้ย, เงินปันผล, ส่วนต่างกำไร, ค่าเช่าต่าง ๆ 

ถ้าเราสามารถทำให้รายได้แบบ Passive มากกว่ารายได้แบบ Active ได้ เราก็จะมีอิสรภาพทางการเงิน หรือ Financial Freedom ในระดับหนึ่ง ถ้าถึงระดับนั้นแล้ว เราก็สามารถที่จะออกมาเล่นหุ้นอย่างเดียวได้อย่างมีความสุข

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น